ขบวนการชาตินิยมในเอเชีย
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในดินแดนเอเชียคือ
เมื่อประเทศเจ้าอาณานิคมได้ส่งเสริมให้จัดการศึกษาในประเทศที่ตนได้ปกครอง เช่น
อังกฤษ ได้ปรับปรุงการศึกษา ทำให้นักศึกษาได้รับการศึกษาดีขึ้น
ซึ่งเป็นชนชั้นกลางในสังคมและจะเป็นบุคคลที่มีความสำคัญในวงการเมืองต่อไปในภายหน้า
ซึ่งกลุ่มบุคคลเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มีเป้าหมายเพื่อการปกครองตัวเองรวมไปถึงความเป็นเอกราชของชาติ
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดขบวนการชาตินิยมต่างๆในเอเชียขึ้น
สาเหตุของขบวนการชาตินิยม
.1.ความรู้สึกและความสำนึกรักชาติโดยได้รับอิทธิพลและแรงจูงใจจากการศึกษาตะวันตกที่ประเทศเจ้าอาณานิคมได้ส่งเสริมให้มีการจัดการศึกษาทำให้นักศึกษาและผู้รักชาติได้รับอิทธิพลและแนวคิดชาตินิยมจากประเทศเหล่านี้
2.การได้รับอิทธิพลทางการปฏิวัติในยุโรปที่มีการปฏิวัติมาก่อนหน้าเอเชีย
หรือการที่เอเชีย เช่น ญี่ปุ่นสามารถต่อสู้กับยุโรปได้ กรณีญี่ปุ่นรบชนะรัสเซียใน
พ.ศ. 2447ทำให้เกิดความคิดของการเป็นแบบในการสร้างสำนึกชาตินิยมในเอเชีย
1.ขบวนการชาตินิยมที่เกิดขึ้นในเอเชียตะวันออก
คือ
จีน ดร.ซุน ยัตเซ็น
ได้ก่อตั้งสมาคมกู้ชาติเพื่อช่วยเหลือความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น อาทิ
ปรับปรุงการศึกษาการเกษตร และอุตสาหกรรม ซึ่งพิจารณาโดยรวม
แนวคิดของเขาได้รับอิทธิพลจากภายในและภายนอกประเทศชื่อว่า “หลักประชาชน” ซึ่งแพร่หลายใน พ.ศ. 2467 มีหลักว่าชาตินิยมประชาธิปไตย
และสวัสดิภาพความเป็นอยู่ของประชาชนหากจะกล่าวถึงขบวนการชาตินิยม ซึ่งมีส่วนสำคัญในการปฏิวัติของจีน
แต่ก็เป็นไปในลักษณะ ของการต่อต้านราชวงศ์แมนจู
ซึ่งเป็นชนต่างชาติอยู่แต่เดิมครั้นเมื่อราชวงศ์แมนจูพ้นออกไปจากเมืองจีนแล้วลัทธิชาตินิยมก็มิได้มีบทบาทสำคัญในเรื่องการเมืองเท่าใดนักภายในพ.ศ.
2414 กลุ่มซามูไรและปัญญาชนได้ทำการเคลื่อนไหวเรียกร้องอำนาจจากโชกุนคืนมาให้จักรพรรดิอันเนื่องด้วยเวลานั้นจากสภาพสังคมและเศรษฐกิจในประเทศ
รวมทั้งภัยคุกคามจากภายนอกประเทศของมหาอำนาจอำนาจตะวันตกต่างๆ
เป็นโอกาสให้รวบรวมพวกคนเหล่านี้ในฐานะนักชาตินิยมขบวนการชาตินิยมเกิดความหวั่นเกรมต่อภัยคุกคามของต่างชาติ ทำให้ผู้นำขบวนการปฏิวัติเทิดทูนจักรพรรดิเป็นผู้นำเพื่อขจัดภัยต่างชาติและเพื่อปฏิรูปสังคและการเศรษฐกิจ
สังคมเพื่อรองรับและเป็นเหตุผลข้อหนึ่งในการนำไปสู่การเปิดประเทศในสมัยต่อมรวมทั้งการที่ญี่ปุ่นได้ถูกบังคับให้ต้องเซ็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรมญี่ปุ่นก็ได้พยายามเรียกร้องกับนานาประเทศที่เคยทำสัญญาให้ญี่ปุ่นต้องเสียเปรียบซึ่งจากความพยายามและเรียกร้องของญี่ปุ่นอังกฤษจึงเป็นประเทศที่ยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงรวมทั้งสหรัฐฯ
และประเทศอื่นๆจนใน พ.ศ. 2454 จึงแก้สัญญาต่างๆ ได้หมด
และญี่ปุ่นก็ได้เสรีภาพเต็มที่ทั้งการศาลและการภาษีอากร
2.ขบวนการชาตินิยมที่เกิดขึ้นในเอเชียใต้ คือ
อินเดีย ญี่ปุ่นชนะสงครามรัสเซียในปี พ.ศ.
2448 มีผลทำให้เกิดการตื่นตัวในลัทธิชาตินิยมในอินเดีย
ผลของสงครามนั้นทำให้เห็นว่าชาติตะวันออกสามารถชนะชนชาติตะวันตกได้
ชาวอินเดียได้เรียกร้องต่างๆ ของชาวอินเดียใช้ขบวนการชาตินิยมเพื่อเป็นเอกราช
เพื่อการปกครองตนเองจนกลายเป็นความวุ่นวายจนถึงขนาดอังกฤษต้องออกฎหมายควบคุมการจลาจลทั้งหลายในปีพ.ศ.
2451กลางพุทธศตวรรษที่ 25
ชาวอินเดียได้มีความรู้สึกเข้าใจชาติของตนการที่เยาวชนได้รับการศึกษาที่มหาวิทยาลัยต่างๆ
ที่เจ้าอาณานิคมอังกฤษได้จัดตั้งสถาบันการศึกษาขึ้นที่บอมเบย์และกัลป์กัลป์ตาเยาวชนอินเดียได้เรียนรู้ระบบวัฒนธรรมทางตะวันตกเรียนรู้การปฏิวัติของฝรั่งเศส
และการสงครามประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯ
ความคิดของคนรุ่นใหม่จึงเปิดกว้างต่อแนวคิดก้าวหน้า สิทธิเสรีภาพอิสรภาพ
ซึ่งส่งผลต่อชาวอินเดียในด้านการคำนึงถึงเอกราชและการสร้างชาติของตนให้เจริญรุ่งเรือง
แล้วขบวนการชาตินิยมก็เกิดขึ้นในอินเดียรวมทั้งการก่อตั้งสมาคมต่างๆเพื่อการปฏิรูปศาสนาวัฒนธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคมเช่นสมาคมพราหมสมาชที่มีเป้าหมายเพื่อการฟื้นฟศาสนาฮินดุ สมาคมอารยสมาชที่ตั้งขึ้นมาเพื่อต่อต้านอารยธรรมตะวันตก เป็นต้น
รวมไปถึงการก่อตั้งพรรคคองเกรสแห่งชาติอินเดีย
ที่เป็นองค์กรทางการเมืองที่ต่อสู้เรียกร้องให้ชาวอินเดียเข้าไปมีส่วนร่วมในการปกครองอินเดียและสุดท้ายก็เรียกร้องเอกราช
จากเหตุผลดังกล่าวในช่วงพุทธศตวรรษที่
25 ลัทธิชาตินิยมได้เกิดขึ้นในอินเดียอย่างรวดเร็วและพร้อมกันนั้นการเรียกร้องเพื่อปกครองตนเองก็ไทวียิ่งขึ้นแม้ชาวอังกฤษจะคิดว่าการปกครองของตนได้นำพรอันประเสริฐหลายอย่างของอารยธรรมตะวันตก
มาสร้างสรรค์ให้แกประเทศอินเดียก็ตามแต่อินเดียก็ไม่ยอมลงความเห็นด้วย ลัทธิชาตินิยมได้รับการหล่อเลี้ยงให้เจริญเติบโตขึ้นโดยพรรคคองเกรสซึ่งเป็นพรรคการเมืองชาตินิยม
ทางศาสนาแล้วส่วนมากเป็นฮินดู ซึ่งต่อมาได้มีอำนาจปกครองอินเดีย อาทิ มหาตมะ คานธี
นักชาตินิยมที่นำอินเดียต่อสู้เรียกร้องเอกราชจากอังกฤษด้วยวิธีการสันติที่เรียกว่า"อหิงสา"จนได้รับเอกราชคืนมาและเยาวหราล
เนห์รู นักกฎหมายที่มีแนวทางชาตินิยม
ซึ่งภายหลังได้เป็นนายกรัฐมนตรีของอินเดียหลังได้รับเอกราชใน พ.ศ. 2490
การได้เอกราชของอินเดียจากอังกฤษก็ได้ทำให้เกิดการแยกประเทศ
ระหว่างคนอินเดียที่นับถือฮินถือฮินดูและอิสลามซึ่งนำโดยนักชาตินิยมอย่างอาลี
จินนาห์
ผู้นับถกือมุสลิมและเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมหากรรมอยู่กับอินเดียที่ปกครองส่วนใหญ่เป็นฮินดู
จึงแยกไปเป็นปากีสถานในพ.ศ. 2490 และเป็นบังกลาเทศใน พ.ศ. 2514
ขบวนการชาตินิยมและการต่อสู้เพื่อเอกราช
ขบวนการชาตินิยมของอินเดียเริ่มเติบโตตั้งแต่ปลายคริสตศตวรรษที่
๑๙ ซึ่งองค์กรชาตินิยมที่มีบทบาทในฐานะปากเสียงของประชาชน ได้แก่
คองเกรสแห่งชาติอินเดีย (Indian National Congress) ซึ่งเปิดประชุมครั้งแรกในปี
ค.ศ. ๑๘๘๕ ที่บอมเบย์ซึ่งเริ่มแรกมีผู้เข้าประชุมเพียง ๗๐
คนจากนั้นก็มีการประชุมทุกๆปีและมีสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าองค์กรนี้จะตั้งโดยชาวฮินดูผู้มีการศึกษาและชาวอังกฤษผู้มีเป็นธรรมอีกทั้งยังมีชาวมุสลิมที่สนใจเข้าร่วมด้วย
จุดประสงค์ของคองเกรสในตอนแรกคือยืนยันที่จะ “ตอบคำถามที่ว่าอินเดียยังไม่เหมาะที่จะมีสถานบันผู้แทนไม่ว่ารูปแบบใดๆทั้งสิ้น”
แต่ก็ดูเหมือนจะเลื่อนลอยในการที่จะให้มีการปกครองแบบสภา
เพราะสมาชิกคองเกรสส่วนใหญ่ยังจงรักภักดีต่ออังกฤษ
ในช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ ๒๐
มีนักเคลื่อนไหวชาตินิยมรุ่นแรกเช่น ดาดาภัย เนาโรจิ
นักธุรกิจชาวอินเดียที่อยู่ในลอนดอนเป็นเวลานาน
จนได้รับเลือกเข้าไปนั่งในสภาสามัญของอังกฤษในนามพรรคเสรีนิยม
เขาได้รับแต่งตั้งให้เข้าไปตรวจสอบการบริหารการคลังของอังกฤษในอินเดีย
นักชาตินิยมคนต่อมาคือ เอ็ม จี รานาด
เนื่องจากเขาเป็นผู้พิพากษาจึงไม่ได้รับอนุญาตให้มีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวทางการเมืองเขามีความเห็นว่าอินเดียต้องนำระบบอุตสาหกรรมมาใช้ภายใต้การช่วยเหลือของอังกฤษ
ลูกศิษย์ของเขาก็มีส่วนในการทำให้อังกฤษต้องลดภาษีและปรับปรุงการคลังให้ดีขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามบุคคลเหล่านี้จัดว่าเป็นสายกลาง (moderates) เห็นได้จากการที่พวกเขายอมรับการปกครองของอังกฤษและพยายามให้อังกฤษปรับปรุงสิ่งที่พวกตนเรียกร้องให้ดีขึ้น
หลังจาก ค.ศ. ๑๙๐๐ เป็นต้นมา
คองเกรสแห่งชาติอินเดียก็แยกเป็น ๒ ฝ่าย คือฝ่ายสายกลาง กับฝ่ายรุนแรง
ฝ่ายหัวรุนแรงนำโดย บัล กันกาธาร์ ติลัก
ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการเรียกร้องอย่างละมุนละม่อมของพวกสายกลาง
ฝ่ายนี้ต้องการให้การให้เกิดความปั่นป่วนแก่อังกฤษ
รวมทั้งใช้กำลังและก่อการร้ายหากจำเป็น ติลักมาจากวรรณะพราหมณ์แห่งเมืองปูนา
เขาเป็นนักปฏิรูปที่นิยมการต่อสู้
ต้องการฟื้นฟูศาสนาฮินดูและประเพณีกลับคืนมาเพื่อเรียกร้องการสนับสนุนจากมวลชน
ทำให้ขบวนการชาตินิยมกระจายไปสู่ประชาชนส่วนใหญ่
เขายังได้ต่อสู้เพื่อให้กรรมกรได้ค่าแรงขั้นต่ำ
เรียกร้องเสรีภาพขององค์การสหภาพการค้า การตั้งกองทัพประชาชน
การให้การศึกษาแก่ประชาชนโดยไม่เก็บเงิน
ติลักมีความคิดเหมือนคานธีในแง่ที่ว่าประชาชนอินเดียไม่ควรให้ความร่วมมือกับอังกฤษ
แต่ต่างกันตรงที่ติลักต้องการใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับอังกฤษ
การกระทำของติลักทำให้ขบวนการชาตินิยมได้รับการสนับสนุนจากประชาชนทั่วไปมากยิ่งขึ้น
เขาถูกจำคุกในปี ๑๙๐๘-๑๙๑๔
ส่วนผู้นำสายชาตินิยมสายกลางได้แก่ โคปาลา
กฤษณา โกเคล ท่านผู้นี้คานธีนับถือเป็นครูของเขา
เพราะโกเคลมีความสนใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสวัสดิการสังคม
ซึ่งมีอิทธิพลต่อคองเกรสและกำหนดทิศทางให้อินเดียเป็นรัฐสวัสดิการภายหลังได้รับเอกราช
แบ่งแยกเพื่อเข้าปกครอง
ในช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ ๒๐
ขบวนการชาตินิยมนำโดยติลักได้ขยายตัวจากภาคตะวันตกไปยังแคว้นเบงกอลทางตะวันออก
ซึ่งการขยายตัวอย่างรวดเร็วมีส่วนหนึ่งมาจากปฏิวัติในรัสเซียในปี ๑๙๐๕
และในปีนั้นญี่ปุ่นก็ทำสงครามชนะกองทัพเรือของรัสเซีย
ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าชาวเอเชียไม่ได้ด้อยกว่าชาวตะวันตก
ซึ่งในปีนั้นเช่นกันอุปราชอังกฤษประจำอินเดียได้ออกกฎหมายแบ่งแคว้นเบงกอลออกเป็น ๒
ส่วนซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่ชาวเบงกาลี(ชาวเบงกอล) เป็นอย่างมาก
การแบ่งเบงกอลออกเป็นสองส่วนทำให้ฟากตะวันออกมีคนมุสลิมส่วนใหญ่มีคนฮินดูเป็นส่วนน้อย
และฟากตะวันตกก็กลับกันคือมีคนฮินดูเป็นส่วนมากมีคนมุสลิมเป็นคนส่วนน้อย
ขบวนการชาตินิยมกล่าวว่าอังกฤษต้องการแบ่งเบงกอลออกเป็นสองส่วน
เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย Divide and rule (แบ่งแยกเพื่อปกครอง)
คือทำให้ชาวเบงกอลแตกสามัคคีกัน
เพื่อลดอิทธิพลของขบวนการชาตินิยมและปราบปรามการฟื้นฟูทางสติปัญญาซึ่งเริ่มตื่นตัวขึ้นมากในเบงกอลตั้งแต่
คริสตศตวรรษที่ ๑๙ เป็นต้นมา
การแบ่งแยกเบงกอลเป็นสองส่วนทำให้ขบวนการชาตินิยมรวมเป็นอันหนึ่งเดียวกันทั่วประเทศอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
กลุ่มนี้ได้ต่อสู้กับรัฐบาลอย่างเข้มแข็งภายใต้คำขวัญ “สวราช” ซึ่งหมายถึงการปกครองตนเองภายใต้จักรวรรดิอังกฤษความรู้สึกชาตินิยมอย่างรุนแรงจากปัญหาการแบ่งแยกเบงกอล ทำให้กลุ่มหัวรุนแรงมีอิทธิพลในการประชุมคองเกรสแห่งชาติอินเดียในปี ค.ศ. ๑๙๐๖
นักชาตินิยมหัวรุนแรงบางคนได้ใช้การต่อสู้อย่างรุนแรงตามแบบการก่อการร้ายใต้ดินไอร์แลนด์และในรุสเซีย
การก่อการร้ายมีความรุนแรงมากขึ้นในช่วง ๑๙๐๖-๑๙๐๙
ทำให้รัฐบาลอังกฤษต้องแก้ไขโดยออก พ.ร.บ.การปฏิรูปมอร์เลย์-มินโต ในปี ๑๙๐๙
และในปี ๑๙๑๑ อังกฤษก็ยกเลิกการแบ่งแยกเบงกอล ทำให้ชาวอินเดียเห็นว่าการใช้ความรุนแรงสามารถบีบบังคับให้รัฐบาลยอมจำนนได้
แต่การปฏิรูปดังกล่าวอังกฤษไม่ได้ทำเพื่อให้อินเดียมีการปกครองตนเอง
แต่เป็นอุบายหนึ่งที่จะทำให้ขบวนการหัวรุนแรงแตกแยกกัน
โดยที่อังกฤษยอมอนุญาตให้อินเดียมีการเลือกตั้งผู้แทนในขอบเขตจำกัด แต่อำนาจเด็ดขาดและการตัดสินใจขั้นสุดท้ายอยู่ที่อังกฤษ
วิธีการดังกล่าวได้รับความสำเร็จ
เพราะทำให้นักชาตินิยมสายกลางกลับมามีอำนาจในคองเกรสอีกครั้งหนึ่ง มีมติ “แสดงความพอใจโดยทั่วไปและอย่างลึกซึ้งต่อการปฏิรูปดังกล่าว” การต่อต้านอังกฤษยังลดความรุนแรงลงอีกใน ค.ศ. ๑๙๑๑ เมื่ออังกฤษยกเลิกการแบ่งแยกแคว้นเบงกอล
ปล่อยนักโทษการเมืองที่สำคัญๆ และให้เงินจำนวนหนึ่งเพื่อพัฒนาการศึกษาของอินเดีย
สรุปว่าตั้งแต่ปลายคริสตศตวรรษที่ ๑๙ มาถึง
ค.ศ. ๑๙๑๔ ขบวนการชาตินิยมของอินเดียประกอบด้วยปัญญาชนเป็นส่วนใหญ่
และคองเกรสแห่งชาติอินเดียได้เติบโตอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลา ๒๕ ปี
ตั้งแต่ตั้งคองเกรสในปี ค.ศ. ๑๘๘๕
สมาชิกคองเกรสแห่งชาตินอกจากจะมาจากแคว้นเบงกอลและเมืองทางชายฝั่งตะวันตกแล้ว
ยังมาจากส่วนต่างๆของบริติชอินเดียอีกด้วย
สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือขบวนการนี้เป็นขบวนการของชนชั้นกลาง ซึ่งประกอบด้วยนักกฎหมาย
นักหนังสือพิมพ์ ครู อาจารย์ และพ่อค้า
คนเหล่านี้คุ้นเคยกับแนวความคิดของนักปราชญชาวตะวันตก เช่น จอห์น สจ๊วต มิล
เฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์ และชาร์ลส์ ดาร์วิน
ซึ่งเป็นนักปรัชญาเสรีนิยมที่มีอิทธิพลในคริสตศตวรรษที่ ๑๙
แต่มักไม่เข้าใจปัญหาและความต้องการของชาวอินเดียส่วนใหญ่ในชนบทซึ่งได้แก่
ความยากจนและความอัตคัดขัดสน จึงเกิดช่องว่างอย่างมากระหว่างคนสองกลุ่มดังกล่าว
จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ เมื่อมหาตมะ
คานธีสามารถทำให้ขบวนการชาตินิยมเป็นขบวนการของมวลชนอย่างแท้จริง
สันนิบาตมุสลิม
ลักษณะอีกประการหนึ่งของขบวนการชาตินิยมในระยะแรก
คือ การที่ชาวฮินดูเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในคองเกรสแห่งชาติอินเดีย
ทำให้ชาวมุสลิมส่วนมากไม่มีส่วนร่วมด้วย มุสลิมภายใต้การนำของเซอร์ เซยิด อาเหม็ด
ข่าน จึงมีความรู้สึกว่าหากคองเกรสแห่งชาติสามารถเรียกร้องการปกครองแบบมีผู้แทนได้สำเร็จ
พวกมุสลิมก็จะกลายเป็นชนกลุ่มน้อยที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบตลอดไป
ชาวมุสลิมยังรู้สึกตื่นตระหนกในพลังอันเข้มแข็งของลัทธิชาตินิยมฮินดูมากขึ้นทุกที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้รักชาติชาวฮินดูบางคนกล่าวถึงมุสลิมว่าเป็น “ชาวต่างชาติ” ชาวมุสลิมจึงได้จัดตั้ง สันนิบาตมุสลิม
(Moslem League) เพื่อป้องกันตนเองจากความระแวงสงสัยดังกล่าว
ทางฝ่ายอังกฤษเองก็พร้อมที่จะต้อนรับและสนับสนุนสันนิบาตมุสลิม
เพื่อถ่วงดุลกับคองเกรสแห่งชาติอินเดีย
อย่างไรก็ตามการก่อตั้งสันนิบาตมุสลิมก็ไม่ได้เกิดจากการวางแผนของอังกฤษ
แต่เป็นผลจากการดำเนินกลยุทธ์ที่ผิดพลาดของผู้นำชาตินิยมฮินดูอย่างเช่น ติลัก
ซึ่งเน้นการฟื้นฟูศาสนาฮินดูเพื่อกระตุ้นความรักชาติของประชาชน
ซึ่งกลับทำให้มุสลิมถูกกีดกันออกไป
มุสลิมจึงเกิดความหวาดระแวงว่าตนจะต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของชาวฮินดูในอนาคต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น