โดย ปรียาภรณ์ ภัยมณี
ผ้าจกไท-ยวน บ้านคูบัว จังหวัดราชบุรี
ประวัติความเป็นมา
การทอผ้าและการแต่งกายเป็นวัฒนธรรมหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของกลุ่มชน
บรรพชนชาวยวนซึ่งเดินทางเข้ามาตั้งหลักแหล่งในราชบุรีตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ได้นำเอาเอกลักษณ์งานทอของตนติดตัวมาด้วยและได้สืบทอดต่อมายังรุ่นลูกรุ่นหลังจนถึงทุกวันนี้
ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา
ด้วยความช่วยเหลือของหลายฝ่าย และด้วยความสวยงามโดดเด่นในตัวมันเอง
เรื่องราวของผ้าตีนจกของคนยวนราชบุรีได้แพร่สู่การรับรู้ของคนทั่วไปค่อนข้างมาก
จนหลายคนเผลอคิดไปว่า มีแต่ผ้าตีนจกเท่านั้นที่คนยวนทำเป็น
ทั้งที่ความเป็นจริงชาวยวนมีผ้าทออีกหลากหลายชนิดที่อยู่ในวิถีชีวิต
สัญลักษณ์หนึ่งนอกเหนือจากภาษาพูดของคนยวนในราชบุรีก็คือ
เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายต่างๆที่ถักทอขึ้นมาจากน้ำมือแม่หญิงทั้งหลาย
แต่กระนั้นในปัจจุบันคงเห็นได้เด่นชัดเพียงบางหมู่บ้านเท่านั้น เช่น บ้านหนองมะตูม
บ้านหนองโป่ง บ้านบ่อปะแก้ว บ้านดอนสาด บ้านดอนรวก
และหมู่บ้านที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง
ผู้หญิงยวนจากหมู่บ้านที่มานิยมนุ่งซิ่นยวนแบบต่างๆ
ไปทำบุญที่วัด ซิ่นที่พวกเธอนุ่งเป็นลักษณะเดี่ยวกับที่เราพบทางภาคเหนือ แม้จะต่างไปบ้างในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ
มีด้วยกันสี่แบบคือ หนึ่ง ซิ่นตา มีตัวเป็นสีแดง ตีนสีดำ ยกดอกเป็นตาๆ หรือลายประ
สลับด้วยลายขวางเส้นเล็กๆ สีแดง เขียว ดำ น้ำเงิน แซมอยู่ช่วงตัวและตีนซิ่น
สมัยก่อนสาวๆ จะชอบนุ่งซิ่นแบบนี้เพราะมีลวดลายสวยงาม สอง ซิ่นเลื่อน พื้นเป็นสีดำ
มีลายขวางสีแดงตรงส่วนต่อระหว่างตัวกับตีนและที่ปลายตีนซิ่นเป็นซิ่นที่ใช้นุ่งเป็นปกติประจำวันและนุ่งไปงานศพ
สาม ซิ่นซิ่ว มีตัวเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนตีนมีสีดำ
มีลายขวางสีแดงที่แซมด้วยลายประตรงส่วนต่อระหว่างตัวกับตีนและที่ปลายตีนซิ่น และ
สี่ ซิ่นตีนจก ซึ่งบางคนยกย่องว่าเป็นสุดยอดของผ้าซิ่น
เพราะมีลวดลายที่ละเอียดงดงาม
ข้อมูล
เรื่องราวของผลิตภัณฑ์ (Product Story)
ผ้าจกเป็นมรดกทางภูมิปัญญาของไท-ยวนที่สืบต่อกันมาอย่างยาวนาน
เป็นผ้าที่ใช้แปรรูปเป็นเครื่องแต่งกายของชาวไท-ยวน เช่น ผ้าซิ่นตีนจก,ผ้าขาวม้าจก,ย่ามจก,กระเป๋าคาดเอวจก
ฯลฯ ที่เป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของไท-ยวน ต่อมาชาวไท-ยวน
ได้เคลื่อนย้ายถิ่นฐานจากเมืองเชียงแสนในปี พ.ศ.2347 มาตั้งหลักแหล่งที่ตำบลคูบัว
อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี
เมื่อได้ปลูกบ้านเรือนอาศัยสมบูรณ์แล้วก็ได้ทอผ้าด้วยวิธีจกเพื่อนำไปแปรรูปเป็นเครื่องแต่งกายดังกล่าว
แสดงเอกลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรมของเผ่าพันธุ์ให้เป็นที่ประจักษ์
ปัจจุบันผ้าจกเป็นผลผลิตทางภูมิปัญญาการทอของชาวไท-ยวน อย่างแพร่หลายในจังหวัด
ราชบุรี และเป็นที่นิยมของผู้รักผ้าไทยโดยทั่วไป
จากการศึกษาของ
ดร.อุดม สมพร (บุคคลดีเด่นของชาติ ประจำปี 2541 สาขาเผยแพร่เกียรติภูมิคนไทย
ด้าน อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น)
อาจารย์ผู้สนใจศิลปะผ้าจกของราชบุรี
พบว่า ผ้าจกของราชบุรีมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองกล่าวคือ มีพื้นเป็นสีดำ จกด้วยสีแดง
แซมด้วยสีเหลืองเป็นหลัก เน้นลาย "นกคู่กินน้ำร่วมเต้า" ให้เป็นเด่นชัด
ส่วนในรายละเอียดผ้าจกของคูบัวกับทางดอนแร่ก็มีความแตกต่างกันบ้างในเรื่องการเน้นลวดลายและการให้สี
แต่ที่สังเกตได้ง่ายคือขนาดความกว้างของตีนจกทางคูบัวจะแคบกว่าทางดอนแร่
ผ้าจกนั้นถือกันว่ามีคุณค่ามากด้วยจกเป็นวิธีการทอที่ต้อง-ใช้ความสามารถและความอุตสาหะสูง ชาวบ้านจึงใช้นุ่งในโอกาสพิเศษเท่านั้น
เท่าที่เราสังเกตชาวบ้านที่นุ่งซิ่นมาทำบุญที่วัดทุ่งหญ้าคมบาง ซึ่งเป็นวัดศูนย์กลางของคนตำบลดอนแร่
ก็พบว่า มีน้อยคนที่จะนุ่งผ้าซิ่นตีนจก
ทั้งนี้คงเป็นเพราะเดี๋ยวนี้คนทอจกเป็นมีไม่กี่คน ส่วนที่มีให้ซื้อหาก็แพงเกินฐานะ
ทุกวันนี้ผ้าตีนจก จึงอยู่ในมือของผู้มีอันจะกินในเมืองเสียมากกว่า
เอกลักษณ์/จุดเด่นของผลิตภัณฑ์
ผ้าจกมีจุดเด่นที่มีสีสันสลับสอดสีพื้นดำจกด้วยสีแดง
แซมด้วยสีเหลืองเขียวเส้นใยละเอียดเนื้อแน่น
ลวดลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของท้องถิ่นคูบัว และแสดงถึงศิลปะของความเป็นไทยท้องถิ่นได้อย่างเด่นชัดเหมาะสมสำหรับนำไปแปรรูปเป็นผ้าซิ่น
เสื้อทั้งชาย-หญิง ฯลฯ
มาตรฐานรางวัลที่ได้รับ
OTOP 5 ดาว (โดยมี ดร.
อุดม สมพร เป็นประธานสหกรณ์การเกษตร ไท-ยวน ราชบุรี จำกัด)
1. กี่ทอผ้า 2. เส้นฝ้าย หรือไหม
3. ขนเม้น 4. กระสวย
กระบวนการขั้นตอนการผลิต
การทอผ้าจกในอดีต
: ชาวไท-ยวนจะปลูกฝ้ายเพื่อปั่นเป็นเส้นด้ายใช้ทอผ้าจกและใช้หูกทอผ้าแบบโบราณ ที่พุ่งกระสวยด้วยมือ
การย้อมสีเส้นด้ายก็ใช้วิธีการย้อมด้วยสีธรรมชาติ ทอจกเป็นผืนตา
วัตถุประสงค์การใช้นุ่งห่มมิได้มุ่งเน้นเพื่อการจำหน่าย การทอผ้าในปัจจุบัน :
ลูกหลานไท-ยวน
ส่วนมากในปัจจุบันจะเริ่มทอผ้าจกด้วยการสั่งซื้อวัสดุเส้นใยจากโรงงานทำเส้นใยในกรุงเทพฯ
หรือตัวแทนจำหน่าย
ฉะนั้นส่วนมากจะเป็นเส้นใยประสมหรือเส้นใยสังเคราะห์ย้อมด้วยสีเคมี
เมื่อได้เส้นใยดังกล่าวก็จะนำมาขึ้นม้วนกี่กระตุกซึ่งเป็นกี่ที่ได้รับอิทธิพลมาจากภูมิปัญญาของคนจีน
เป็นกี่หน้ากว้างทอได้รวดเร็วกว่าหูกโบราณ การขึ้นม้วน (การเตรียมเส้นยืน)
จะจ้างผู้มีอาชีพรับจ้างขึ้นม้วนเป็นส่วนมากแต่จะมีบางคนที่ขึ้นม้วนด้วยตนเองแต่ไม่มากนัก
เมื่อได้ม้วนเส้นยืนแล้ว ช่างฝีมือก็จะทอด้วยวิธีจกลวดลายตามแบบที่ได้สืบทอดกันมา
ส่วนเส้นพุ่งจะกรอเส้นด้ายเข้าหลอดด้วยตนเอง
เพราะเป็นขบวนการที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนแต่ประการใด
ปริมาณการผลิต
สมาชิกสหกรณ์ฯ
สามารถผลิตผ้าจกรวมกันเดือนละโดยประมาณ 2,000 ผืน
กลุ่มผู้ประกอบการ/ ผู้ผลิต
สหกรณ์การเกษตรไท-ยวน ราชบุรี จำกัด ตำบล คูบัว อำเภอ เมือง จังหวัด ราชบุรี จำนวนสมาชิก 300 คน ที่อยู่ 101 หมู่ที่ 6 ต.คูบัว อ.เมือง จ.ราชบุรี
โทรศัพท์ 032-323197,07-0259088,01-7631989,01-7050406
สถานที่จำหน่าย
- 1.ศูนย์สืบทอดภูมิปัญญาไทย
ตั้งอยู่บริเวณจิปาถะภัณฑสถานบ้านคูบัว วัดโขลงสุวรรณคีรี ตำบลคูบัว อำเภอเมือง
จังหวัดราชบุรี
2.สถานที่ราชการจัดให้มีการจำหน่ายสินค้า OTOP
ตามแต่โอกาส
3.จำหน่ายต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา,สวิสเซอร์แลนด์,ศรีลังกา,จีน
จิปาถะภัณฑ์สถานบ้านคูบัว
ตั้งขึ้นด้วยความริเริ่มขององค์กร อาทิ วัดโขลงสุวรรณคีรี
มูลนิธิพัฒนาประชากรตำบลคูบัว สมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนวัดแคทราย
ศูนย์สืบทอดศิลปะผ้าจกราชบุรี ชมรมชาวไท-ยวน ราชบุรี โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณการ ก่อสร้างและปรับปรุงอาคารจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี
สมาคมต่าง ๆ ได้ร่วมกันก่อสร้าง ตัวอาคารแล้วเสร็จเมื่อ
พ.ศ.2546
จากนั้นจึงมอบหมายให้ ดร.อุดม สมพร มูลนิธิพัฒนาประชากรตำบลคูบัว
เป็นประธานกรรมการจัดตกแต่งและจัดแสดงภายในรวมทั้งเป็นวิทยากรกิตติมศักดิ์ด้วยนอกจากนี้ภายนอกอาคารด้านขวามือยังเป็นอาคารเอนกประสงค์ที่ใช้เป็นที่รวมกลุ่มของชาวบ้าน ในพื้นที่
ใช้เป็นศูนย์ฝึกและศูนย์สาธิตการทอผ้าจก
และทางด้านหน้าของอาคารมีเรือนไท-ยวนโบราณให้ศึกษา อีกด้วยภายในอาคาจิปาถะภัณฑ์
แบ่งห้องแสดงไว้หลายห้อง เช่น ห้องแสดงศิลปวัตถุโบราณสมัยทวราวดี ห้องแสดงวิถีชีวิตของชุมชนไท-ยวน เป็นต้น
ส่วนแสดงห้องที่ 1 :
แสดงภูมิปัญญาสมัยทวารวดี
พื้นที่ตำบลคูบัวในพุทธศตวรรษที่ 11
- 16 เคยเป็นเมืองโบราณสมัยทวารวดีมาก่อน มีเนื้อที่ประมาณ 2,310
ไร่เศษ มีโบราณสถาน ที่กรมศิลปากรดำเนินการขุดค้นและตกแต่งจำนวน 44
แห่ง ระยะ ระหว่าง พ.ศ.2505 - 2506 ซึ่งก่อนหน้านั้นชาวบ้านคูบัวไม่รู้ว่าที่บริเวณดังกล่าวเป็นโบราณสถาน
จึงได้พัฒนาพื้นที่เพื่อทำการเกษตรขุดไถปรับพื้นที่ทำนา ทำไร่ ส่วนไหนเป็นโคก
เป็นดอน ก็ไถเอาเศษอิฐ เศษวัตถุโบราณ ไปทับถมรวมกันเป็นกอง
เมื่อเจอเศียรพระพุทธรูปหรือศิลปวัตถุบางชิ้น เช่น แก้ว แหวน เงิน ทอง ลูกปัด
หน้ากากทองคำ ก็นำไปขายที่ร้านทอง ส่วนที่ปรักหักพังขายไม่ได้
ก็นำไปไว้ที่วัดโขลงสุวรรณคีรี ต่อมาเมื่อคณะกรรมการดำเนินการจัดสร้างจิปาถะภัณฑ์สถานบ้านคูบัว
ได้นำวัตถุโบราณที่เป็นเศษเหลือมาจัดแสดงในห้องนี้
แสดงห้องที่ 2 : แสดงเครื่องมือทำมาหากิน
เครื่องมือทำมาหากินได้แสดงไว้ในส่วนแสดงห้องที่ 2 มีอุปกรณ์ เครื่องไถนา เครื่องจับดักสัตว์ และ ของใช้ต่าง ๆ ที่หาได้
ส่วนแสดงห้องที่ 3 :
มุมหลับนอนสอนลูกหลาน
ในห้องนี้แสดงให้เห็นวิถีชีวิตชาวไท - ยวน ซึ่งพ่อแม่ลูกหลาน
จะนอนอยู่ในห้องเดียวกัน ได้ดูแลและอบรมสั่งสอนอย่างใกล้ชิด
ซึ่งก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางสายเลือด
ส่วนแสดงห้องที่ 4 :
แสดงการระคมความคิดของคนในชุมชน
ในห้องนี้เป็นมุมที่มีการตกแต่ง จำลองภาพ
ผู้นำชุมชนในแต่ละภาคส่วน เช่น การระดมสมอง การอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย
และผู้นำทางจิตวิญญาณ
ส่วนแสดงห้องที่ 5 :
แสดงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไท - ยวน
ในห้องนี้มีครัวของชาวไท - ยวน
ซึ่งประกอบด้วยก้อนเส้า เตาไฟ และอุปกรณ์หุงข้าวต้มแกง
บรรยากาศของห้องครัวเหมือนสถานที่จริง
จะได้กลิ่นกระเทียม หอม พริก และปลาแห้ง ในสมัยที่นั่งไม่มี ตู้กับข้าว ชาวไท - ยวน ใช้สะโตกซึ่งเป็นกล่องไม่มีฝาครอบใส่กับข้าว
ข้างครัวโบราณมีการจัดครัวสมัยใหม่เพื่อเปรียบเทียบ
ถัดจากครัวเป็นที่สำหรับอยู่ไฟ
ในสมัยโบราณเมื่อผู้หญิงคลอดลูกแล้วจะต้องอยู่ไฟให้ครบเดือน เรียกว่าอยู่เดือน
เชื่อกันว่าใครอยู่ไม่ถึงเดือน ร่างกายก็จะอ่อนแอ เจ็บป่วยอยู่เสมอ
ส่วนแสดงห้องที่ 6 :
แสดงเรื่องทำมาหากินของไท - ยวน
ในส่วนนี้แสดงให้เห็นวัฒนธรรมบางส่วน เกี่ยวกับข้าวของ ชาวไท – ยวน
ส่วนแสดงห้องที่ 7 :
ห้องโถงสำหรับจัดนิทรรศการ
ส่วนนี้เป็นห้องโถงสำหรับแสดงนิทรรศการหมุนเวียนและเป็นห้องจัดสัมมนาของหน่วยราชการ
สถานศึกษาในชุมชน หรือใช้จัดประชุมกลุ่มย่อย ๆ ของชาวบ้าน
ภายในห้องมีพระประธานศิลปะเชียงแสง สิงห์ 1 สิงห์ 2
สิงห์ 3
ส่วนแสดงห้องที่ 8 :
ภูมิปัญญาทอผ้าจก
ส่วนนี้เป็นส่วนที่แสดงภูมิปัญญาทอผ้าจกของชาวไท
- ยวน ซึ่งเป็นภูมิปัญญาอยู่ในสายเลือดของชาวไท - ยวน ทุกคน
ส่วนแสดงห้องที่ 9 :
ห้องอนุรักษ์ผ้าโบราณ
ส่วนนี้เป็นห้องแสดงผ้าซิ่นตีนจกโบราณของชาวไท - ยวน และผ้าจกสมัยปัจจุบัน
มีไว้ให้เปรียบเทียบจำนวนมากมาย
ส่วนแสดงห้องที่ 10
: ห้องชาติพันธุ์ในจังหวัดราชบุรี
ส่วนนี้แสดงเครื่องแต่งกาย สถาปัตยกรรม
ที่อยู่อาศัย รูปลักษณ์ และเรื่องราวของแต่ละชาติพันธุ์ ในราชบุรี เช่น ไท - ยวน ไท - ทรงดำ ไท -
มอญ ไท - จีน ไท -กะเหรี่ยง ไท - ลาวเวียง ไท - พื้นถิ่น และ ผ้าของชาวติมอร์ตะวันออก
เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-16.30 น. ( ควรติดต่อล่วงหน้าก่อนเข้าชม ) สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0
1763 1989 ( ดร.อุดม สมพร )
การเดินทาง
เส้นทางสายเก่า สายเพชรเกษม ทางหลวงหมายเลข 4
ผ่านบางแค-อ้อมน้อย-อ้อมใหญ่-นครชัยศรี-นครปฐม-ราชบุรี
เส้นทางสายใหม่ เส้นทางหลวงหมายเลข 338 จากกรุงเทพฯ-พุทธมณฑล-นครชัยศรี
เข้าถนน-เพชรเกษมบริเวณอำเภอนครชัยศรีก่อนถึงตัวเมืองนครปฐมประมาณ
16 กิโลเมตร จากนั้นใช้ถนนเพชรเกษม ตรงไปตัวเมืองราชบุรีหรือใช้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1543
ตัวอย่างการสัมภาษณ์
ผู้ให้สัมภาษณ์
: ชื่อ ดร.อุดม
สมพร (บุคคลดีเด่นของชาติ ประจำปี 2541 สาขาเผยแพร่เกียรติภูมิคนไทย
ด้าน อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น)
( วันที่ให้สัมภาษณ์ 15 กันยายน 2555)
ประเด็นในการสัมภาษณ์
- เพราะเหตุใดจึงมีการจัดตั้ง “จิปาถะภัณฑ์สถานบ้านคูบัว”
ตอบ จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานและเป็นร่องรอยถึงตระกูลของชาวราชบุรี ของคนคูบัวที่เคยอยู่ที่นี่ว่ามีภูมิปัญญาอย่างไร มีวิถีชีวิตอย่างไร เราต้องการจะเชิดชูและรำลึกถึงบรรพบุรุษ
2. จุดเด่นของ “จิปาถะภัณฑ์สถานบ้านคูบัว” คืออะไร
ตอบ
ทาง“จิปาถะภัณฑ์สถานบ้านคูบัว”มีความเป็นกันเองกับผู้เข้าชม
ไม่ได้มีการใส่ตู้กระจกไว้ เราจะเข้าไปจับหรือเข้าใกล้ชิดอย่างไรก็ได้
ซึ่งตรงนี้คือจุดเด่นที่ไม่เหมือนใครของที่นี่
3. เพราะเหตุใดจึงคิดทำผ้าจกไท-ยวน บ้านคูบัวขึ้นมาเป็นผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกประจำจังหวัดราชบุรี
ตอบ
ใช้เป็นอาชีพได้ เมื่อเป็นอาชีพได้แล้วชาวบ้านก็ทอผ้าจกและได้เป็นรายได้
ถ้ามัวแต่ไปฟื้นฟูที่
อื่นเราก็ไม่สามารถที่จะนำไปกอบเป็นอาชีพและไม่เกิดเป็นรายได้นั่นเอง
4.
ลักษณะเด่นของ“ผ้าจกไท-ยวนบ้านคูบัว”
คืออะไร
ตอบ
“พื้นสีดำ จกด้วยสีแดง แซมด้วยสีเหลืองหรือเขียว จะเห็นสีแดงเป็นหลักเด่น”
5.
ทาง “จิปาถะภัณฑ์สถานบ้านคูบัว” มีการคิดต่อยอดองค์ความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอย่างไร
ตอบ มีการคิดต่อยอดในเรื่องของการขยายตัวอาคารออกไปเพิ่มเติมจากที่มีอยู่
แต่ขณะนี้ก็ยังไม่ สามารถดำเนินการได้เนื่องจากพื้นที่ยังไม่มี
และอีกหนึ่งปัญหาคือขณะที่มีการสร้าง“จิปาถะภัณฑ์สถานบ้านคูบัว”ในปัจจุบันมีกลุ่มคนบางกลุ่มไม่เห็นด้วยหาว่านำพื้นที่วัดมาหากินนั่นเอง
สรุป
ในปัจจุบันนี้การทอผ้าจกคูบัวได้กลายเป็นอาชีพ
สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นการอนุรักษ์การทอผ้าโบราณไม่ให้สูญหายไปกับกาลเวลาอีกด้วย(จะมีความประณีต
และละเอียดอ่อนมาก)
ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ ลูก
อยู่พร้อมหน้ากันไม่ต้องเร่ร่อนไปหาทำงานในโรงงาน
เพราะฉะนั้นสังคมครอบครัวก็เป็นสุข
ดังนั้น คนไทยทุกคนควรมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์รักษาวัฒนธรรมไทยที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของเราให้คงอยู่ต่อไป
โดยเรื่องของ OTOP ก็เป็นส่วนหนึ่งของการต่อยอดภูมิปัญญาไทยให้คงอยู่
ความงามเหล่านี้ก็จะไม่สูญหายไปกับกาลเวลา
อ้างอิง
จิปาถะภัณฑ์สถานบ้านคูบัว(เป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นของชุมชนบ้านคูบัว) , ที่อยู่ 101 หมู่ที่ 6 ต.คูบัว อ.เมือง จ.ราชบุรี
โทรศัพท์ 032-323197,07-0259088,01-7631989,01-7050406
สนุกมากค่ะใครสนใจถามมาได้น่ะค่ะ สถานที่จริงสวยงามมากค่ะ
ตอบลบ